แชร์

เก็บสเต็มเซลล์สัตว์เลี้ยง ทางเลือกใหม่เพื่อการดูแลสุขภาพน้องหมาน้องแมวในอนาคต

อัพเดทล่าสุด: 18 ก.ค. 2025
106 ผู้เข้าชม
เก็บสเต็มเซลล์สัตว์เลี้ยง ทางเลือกใหม่เพื่อการดูแลสุขภาพน้องหมาน้องแมวในอนาคต
เก็บสเต็มเซลล์สัตว์เลี้ยง คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ และวิธีการเก็บ นี่คือคู่มือฉบับสมบูรณ์จาก PetgeneX

เก็บสเต็มเซลล์สัตว์เลี้ยง คู่มือฉบับสมบูรณ์ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้
การเก็บสเต็มเซลล์สัตว์เลี้ยงกำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงให้ความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้า การเก็บสเต็มเซลล์เป็นเหมือนการซื้อประกันสุขภาพระยะยาวสำหรับสัตว์เลี้ยงที่เรารัก

สเต็มเซลล์สัตว์เลี้ยงคืออะไร
สเต็มเซลล์ หรือ "เซลล์ต้นกำเนิด" เป็นเซลล์พิเศษที่มีความสามารถในการแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ประเภทต่างๆ ได้มากมาย เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ เส้นประสาท กระดูก หรือเซลล์ผิวหนัง ในวงการสัตวแพทย์ สเต็มเซลล์กำลังกลายเป็นทางเลือกสำคัญในการรักษาโรคเรื้อรังและการฟื้นฟูสุขภาพของสัตว์เลี้ยง เช่น โรคข้อเสื่อม, ภูมิแพ้, ปัญหาผิวหนัง, หรือแม้แต่ภาวะลูคีเมียในแมวได้ สเต็มเซลล์เหล่านี้สามารถ:
  • ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย เมื่อเกิดการบาดเจ็บหรือการอักเสบ
  • ทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพ เนื่องจากอายุหรือโรคภัยต่างๆ
  • รักษาสมดุลของร่างกาย ผ่านการสร้างเซลล์ใหม่อย่างต่อเนื่อง

ประโยชน์ของสเต็มเซลล์ในสัตว์เลี้ยง

  • ฟื้นฟูอวัยวะหรือเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพ
  • ลดการอักเสบในโรคข้อเสื่อม ข้อสะโพกเสื่อม
  • เพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ใช้กับการบาดเจ็บ เช่น เอ็นขาด หรือแผลเรื้อรัง

ทำไมต้องเก็บสเต็มเซลล์สัตว์เลี้ยง

ทำไมการเก็บสเต็มเซลล์สัตว์เลี้ยงจึงสำคัญ?
การเก็บสเต็มเซลล์ตั้งแต่สัตว์เลี้ยงยังอยู่ในวัยแข็งแรง ทำให้ได้เซลล์คุณภาพดี มีความสามารถในการเพาะเลี้ยงและนำมาใช้ในอนาคตได้หลากหลาย โดยเฉพาะในยามที่น้องหมาน้องแมวป่วยหรืออายุมากขึ้น

ข้อดีของการเก็บสเต็มเซลล์สัตว์เลี้ยง

1. การรักษาที่เป็นธรรมชาติ
  • กระตุ้นความสามารถในการรักษาตัวเองของร่างกาย
  • ลดความซับซ้อนทางการแพทย์หรือการใช้ยาที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย
  • ใช้เซลล์จากตัวสัตว์เลี้ยงเอง ลดความเสี่ยงของการปฏิเสธของร่างกาย
2. ประสิทธิภาพในการรักษา
  • เมื่อเป็นเซลล์ของตัวเอง จะยิ่งช่วยลดการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ไม่ถูกระบบภูมิคุ้มกันต่อต้าน ไม่เสี่ยงต่อการพ้เซลล์จากคนอื่น เร่งกระบวนการรักษาให้เร็วขึ้น
  • ช่วยให้การฟื้นฟูร่างกายและกระบวนการรักษาสมบูรณ์มากขึ้น
3. ความปลอดภัยสูง
  • เนื่องจากใช้เซลล์จากตัวสัตว์เลี้ยงเอง ทำให้เข้ากันกับร่างกายได้ 100%
  • ไม่มีความเสี่ยงของการติดเชื้อจากภายนอก
  • สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ ได้

 

ประเภทของการเก็บสเต็มเซลล์สัตว์เลี้ยง เก็บได้จากไหนบ้าง?

การเก็บสเต็มเซลล์ในสัตว์เลี้ยงสามารถทำได้จากหลายแหล่ง ขึ้นอยู่กับช่วงวัย สุขภาพ และความเหมาะสมของสัตว์แต่ละตัว โดยทุกวิธีล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือ การเก็บเซลล์ต้นกำเนิดที่มีคุณภาพสูงที่สุด เพื่อนำไปใช้รักษา ฟื้นฟู หรือเสริมสุขภาพในอนาคต

1. การเก็บสเต็มเซลล์จากเลือด (Peripheral Blood Stem Cells - PBSCs)

  • ที่มา: มาจากเลือดของสัตว์เลี้ยง เป็นการเก็บที่ปลอดภัยและทำได้ง่ายในคลินิกทั่วไป
  • วิธีการเก็บ : การเก็บสเต็มเซลล์จากเลือด ไม่จำเป็นต้องวางยาสลบ ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด เป็นแค่การเจาะเลือดและเก็บตัวอย่างเลือดเพียงเล็กน้อย นำเลือดเข้าสู่กระบวนการคัดแยกสเต็มเซลล์ (MSCs) และเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ในห้องปฏิบัติการ คัดแยกสเต็มเซลล์ออกจากเลือด ตรวจสอบคุณภาพของเซลล์ เลือกเฉพาะเซลล์ต้นกำเนิดที่แข็งแรง และจัดเก็บในถังไนโตรเจนเหลวอุณหภูมิ -196°C
  • ข้อดี : สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องวางยาสลบเพื่อผ่าตัด สามารถเก็บได้ทุกช่วงวัย ได้ Autologous Cells (เซลล์จากตัวสัตว์เอง)
  • เหมาะสำหรับ: สัตว์เลี้ยงทุกช่วงวัย
2. การเก็บสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมัน (Adipose-Derived Stem Cells - ADSCs)
  • ที่มา: ได้จากเนื้อเยื่อไขมันของสัตว์เลี้ยง ในบริเวณไขมันส่วนเกินที่อยู่แถบช่องท้องหรือใต้ผิวหนัง
  • วิธีการเก็บ : มักทำในสัตว์เลี้ยงที่ต้องมีการผ่าตัดหรือทำหมัน เพราะจำเป็นต้องวางยาสลบ และทำการเก็บเนื้อเยื่อไขมัน นำไขมันส่วนที่เก็บได้ไปคัดแยกเซลล์ในห้องปฏิบัติการ คัดกรองสเต็มเซลล์ (MSCs) และจัดเก็บในในถังไนโตรเจนเหลวอุณหภูมิ -196°C 
  • ข้อดี: เป็นการใช้ประโยชน์จากเนื้อเยื่อที่มักถูกทิ้ง ,ได้ Autologous Cells (เซลล์จากตัวสัตว์เอง)
  • เหมาะสำหรับ: สัตว์เลี้ยงที่ต้องการทำหมันหรือทำการผ่าตัดอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการวางยาสลบหลายครั้ง

3. การเก็บสเต็มเซลล์จากสายสะดือ (Umbilical Cord Stem Cells)
  • ที่มา: ได้จากสายสะดือของลูกสัตว์แรกเกิด เช่น ลูกสุนัขหรือแมว ภายในไม่กี่นาทีหลังคลอด เป็นแหล่งเซลล์ต้นกำเนิดบริสุทธิ์และอ่อนเยาว์ที่สุด
  • วิธีการเก็บ: เก็บสายสะดือทันทีหลังคลอด และส่งเข้าสู่ห้องปฏิบัติการเพื่อสกัดและเพาะเลี้ยงเซลล์ (MSCs) และจัดเก็บในถังไนโตรเจนเหลวอุณหภูมิ -196°C 
  • ข้อดี: เซลล์มีความบริสุทธิ์สูง ศักยภาพดีที่สุด
  • เหมาะสำหรับ: สุนัขที่ตั้งครรภ์ / ฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงเพื่อสร้างมูลค่าและความมั่นใจให้กับเจ้าของใหม่

 

โรคและภาวะต่าง ๆ ที่สามารถรักษาด้วยเซลล์บำบัดในสัตว์เลี้ยง
การบำบัดด้วยสเต็มเซลล์ (Stem Cell Therapy) กำลังกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเรื้อรัง และช่วยฟื้นฟูสุขภาพของสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะในสุนัขและแมวที่มีโรคเรื้อรังหรือเข้าสู่วัยชรา ด้านล่างนี้คือกลุ่มโรคและภาวะต่าง ๆ ที่มีรายงานว่าสามารถรักษาหรือบรรเทาอาการได้ด้วยสเต็มเซลล์

1. โรคระบบประสาทและไขสันหลัง

  • ภาวะปลอกประสาทเสื่อม (Multiple Sclerosis)
  • ภาวะอักเสบของระบบประสาท (Meningitis, Myelitis)
  • ภาวะแทรกซ้อนจากไวรัส เช่น ไข้หัดสุนัข (Distemper-induced Neurological Damage)
  • อาการบาดเจ็บของไขสันหลัง (Spinal Cord Injury)
ผลลัพธ์: สเต็มเซลล์ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อประสาทที่เสียหาย กระตุ้นการฟื้นฟู และลดการอักเสบในระบบประสาท

2. โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
  • โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ (Cardiomyopathy)
  • โรคลิ้นหัวใจเสื่อม (Myxomatous Mitral Valve Disease)
ผลลัพธ์: เซลล์บำบัดช่วยลดภาวะหัวใจล้มเหลว ชะลอการเสื่อมของกล้ามเนื้อหัวใจ และเพิ่มคุณภาพชีวิต

3. โรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ
  • โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE, IMHA, Pemphigus)
  • โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis)
ผลลัพธ์: เซลล์บำบัดช่วยปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการอักเสบเรื้อรัง และลดความจำเป็นในการใช้ยากดภูมิ

 4. โรคข้อเสื่อม เอ็นอักเสบ และกระดูก
  • โรคข้อเสื่อม ข้ออักเสบ (Osteoarthritis, Inflammatory Arthritis)
  • เอ็นอักเสบ เส้นเอ็นฉีกขาด (Tendonitis, Ligament Rupture)
ผลลัพธ์: ฟื้นฟูเนื้อเยื่อข้อต่อ ลดการอักเสบ บรรเทาอาการเจ็บปวด และช่วยให้สัตว์เลี้ยงกลับมาเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

 5. โรคระบบย่อยอาหาร ตับ และตับอ่อน
  • ลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease, Chronic Enteropathy)
  • ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis)
  • ตับอักเสบเรื้อรัง (Chronic Hepatitis)
ผลลัพธ์: สเต็มเซลล์สามารถช่วยลดการอักเสบ ฟื้นฟูเนื้อเยื่อตับและลำไส้ ส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร

6. โรคระบบทางเดินหายใจ
  • โรคหอบหืดแมว (Feline Asthma)
  • โรคปอดบวม (Pneumonia)
ผลลัพธ์: ลดการอักเสบของทางเดินหายใจ ฟื้นฟูเนื้อเยื่อปอด และเพิ่มความสามารถในการหายใจ

7. โรคไตและระบบขับถ่าย
  • โรคไตเรื้อรังและเฉียบพลัน (Glomerulonephritis, Ischemic AKI)
  • กระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง (Idiopathic Cystitis)
ผลลัพธ์: เซลล์บำบัดสามารถลดการอักเสบในเนื้อเยื่อไต กระตุ้นการซ่อมแซม และชะลอการเสื่อมของไต

8. โรคตา กระจกตาอักเสบ และแผลเรื้อรัง
  • กระจกตาอักเสบ (Superficial / Eosinophilic Keratitis)
  • แผลกระจกตาเรื้อรัง / หลุมกระจกตา (Corneal Ulcer)
ผลลัพธ์: เซลล์ช่วยฟื้นฟูเยื่อตา ลดการอักเสบ และเร่งกระบวนการสมานแผล

9. โรคเบาหวานและภาวะแทรกซ้อน
  • เบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เบาหวานขึ้นตา ไตเสื่อม แผลเบาหวาน
ผลลัพธ์: เซลล์บำบัดช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและฟื้นฟูอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ

10. โรคผิวหนัง แผลหายช้า และแผลเรื้อรัง
  • แผลจากไฟไหม้ แผลเบาหวาน แผลกดทับ
  • ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง / แผลหายช้า
  • แผลเรื้อรังจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัด
ผลลัพธ์: สเต็มเซลล์มีคุณสมบัติเร่งการสมานแผล กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ และลดการอักเสบ

11. ภาวะชราภาพในสัตว์เลี้ยง (Frailty Syndrome)
  • กล้ามเนื้อลีบ อ่อนแรง เคลื่อนไหวน้อย
  • คุณภาพชีวิตลดลงจากความเสื่อมของอวัยวะ

ผลลัพธ์: การใช้สเต็มเซลล์ในสัตว์สูงวัยสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของกล้ามเนื้อและอวัยวะ เพิ่มพลังงาน และฟื้นฟูสุขภาพโดยรวม



ช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการเก็บสเต็มเซลล์

เก็บก่อน = ได้เซลล์ที่ดีที่สุด เพื่อโอกาสรักษาในอนาคต

หลายคนมักคิดว่า ค่อยเก็บเมื่อน้องป่วย แต่ในความเป็นจริง คุณภาพของสเต็มเซลล์นั้นลดลงตามอายุของสัตว์เลี้ยง
การตัดสินใจเก็บตั้งแต่วันนี้ คือการ ล็อกโอกาส เพื่อสุขภาพในอนาคตของเขาเอาไว้ล่วงหน้า

อายุ 4 เดือน ถึง 3 ปี: ช่วงทองของการเก็บเซลล์ หากเก็บตอนนี้ = ได้เซลล์ที่มีศักยภาพสูงสุด

  • สเต็มเซลล์อยู่ในสภาวะที่แข็งแรง อ่อนเยาว์ และสามารถเพาะเลี้ยงได้ปริมาณมาก
  • เหมาะที่สุดในการเก็บเพื่อใช้ในอนาคต
อายุ 3 ปี ถึง 7 ปี : ยังทันสำหรับการเก็บที่มีคุณภาพ แนะนำให้รีบเก็บ ก่อนที่อายุจะมากไปกว่านี้
  • สเต็มเซลล์ยังคงทำงานได้ดี เพียงแต่ศักยภาพเริ่มลดลงบ้าง
  • เหมาะสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ยังแข็งแรง และยังไม่มีโรคประจำตัว
อายุ 7 ปี ถึง 10 ปีขึ้นไป: ยังเก็บได้ แต่ต้องรีบก่อนสาย ยิ่งรีบ ยิ่งมีโอกาสฟื้นฟูสุขภาพในวัยชรา
  • คุณภาพของเซลล์จะเริ่มเสื่อมลงตามอายุ
  • การเก็บยังสามารถทำได้ แต่ปริมาณและความสามารถในการเพาะเลี้ยงเซลล์อาจน้อยลง


ยิ่งเก็บเร็ว = ยิ่งได้เซลล์คุณภาพดี = เพิ่มโอกาสในการรักษา
การเก็บสเต็มเซลล์ คือการมอบ ความหวังสำรอง ให้กับชีวิตของสัตว์เลี้ยงที่คุณรัก

เก็บสเต็มเซลล์สัตว์เลี้ยงวันนี้ เพื่ออนาคตสุขภาพที่แข็งแรงของเขา อย่ารอให้เขาป่วยแล้วค่อยเริ่มต้น แค่เลือดเล็กน้อยวันนี้อาจช่วยเขาได้ทั้งชีวิต

สรุป เซลล์บำบัดเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้สำหรับสัตวแพทย์และเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ต้องการมอบโอกาสในการรักษาแบบฟื้นฟูและยั่งยืน หากคุณกำลังมองหาทางเลือกใหม่ให้กับสุขภาพของน้องหมาน้องแมว การเก็บสเต็มเซลล์ไว้ตั้งแต่วันนี้คือของขวัญล้ำค่าสำหรับอนาคตของเขา

 

หากคุณพ่อคุณแม่สนใจฝากเก็บสเต็มเซลล์ของน้อง สามารถติดดต่อได้ที่ 

line@ : @petgenex

instagram : petgenex

Facebook : PetgeneX

www.petgenex-th.co.th


บทความที่เกี่ยวข้อง
โรคหมาแมว 2025: วางแผนสุขภาพเชิงรุก & PetGeneX เพื่อชีวิตยืนยาว
ค้นพบโรคที่พบบ่อยในหมาแมวปี 2025 เรียนรู้วิธีป้องกันและวางแผนสุขภาพเชิงรุกตั้งแต่เนิ่นๆ พร้อมเปิดมิติใหม่แห่งการดูแลด้วย PetGeneX เพื่ออนาคตสุขภาพที่ดีที่สุดของสัตว์เลี้ยงคุณ
ของเล่นเสริมสติปัญญาและจิตใจสำหรับหมาแมว: กระตุ้นสมอง ลดเครียด และยืดอายุสุขภาพ
ค้นพบประโยชน์ของของเล่นเสริมพัฒนาการที่ช่วยให้หมาแมวฉลาด อารมณ์ดี และแข็งแรง พร้อมแนวทางการดูแลสุขภาพควบคู่กับการเก็บสเต็มเซลล์จาก PetGeneX
5 อาหารเสริมชะลอวัยหมาแมวที่ควรเริ่มให้ตั้งแต่อายุ 5 ปี พร้อมแนะนำการเก็บสเต็มเซลล์เพื่อสุขภาพระยะยาว
สำรวจอาหารเสริม 5 ชนิดที่ช่วยชะลอวัยในหมาแมว พร้อมแนะนำการเก็บสเต็มเซลล์กับ PetGeneX เพื่อฟื้นฟูสุขภาพในอนาคต
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ